ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

อารมณ์กรรมฐาน ณ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม

๒๑ ส.ค. ๒๕๕๓

 

อารมณ์กรรมฐาน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ต.คลองควาย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี

 

กลัวเวลาไปกินเขาไง จะตี ๒ อยู่แล้ว กลัวไปกินเวลาเขา กินเวลาหน่อยคงไม่เป็นไรเนาะ

ถาม : การเพ่งกระดูกเป็นอารมณ์ กับคำว่าเห็นกายในกาย เป็นอย่างเดียวกันไหม

หลวงพ่อ : ไม่ ! “การเพ่งกระดูกนี่เขาเรียกว่าอัฐิ คือ เอากระดูกเป็นอารมณ์” คำว่า “อัฐิ” นะ อย่างเช่นเรากำหนดมรณานุสติ เห็นไหม เราคิดถึงความตายเป็นอารมณ์

อันนี้การเพ่งกระดูก กับคำว่าเห็นกาย

คำว่าเห็นกาย แม้แต่ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจนี้ ก็ไม่เห็นกาย การเห็นกายต้องจิตสงบเห็น อย่างที่อธิบายเมื่อกี้แล้วเนาะ

ทีนี้การเพ่งกระดูก คือ มันเห็นด้วยตาเนื้อไง มันเห็นแบบเอาตังไง เห็นแบบหมอ ทีนี้การเห็นแบบหมอนี่มันเป็นเห็นแบบโลก เห็นแบบโลกกับเห็นแบบธรรม... เนาะ แต่ ! แต่ก็ยังไม่ผิดนะให้เพ่งไปเรื่อยๆ ให้เพ่ง เพราะเราเอาเป็นที่พึ่ง

เหมือนกับพุทโธนี่ เอาพุทโธมาอยู่ที่ใจ อย่างที่พูดเห็นไหม แต่นี่เราเอาอัฐิมาเป็นที่พึ่ง คำบริกรรม... ต้องมีคำบริกรรม หลวงตาบอกเราต้องมีคำบริกรรมตลอด เพราะจิตนี้เป็นนามธรรม ถ้าเราปล่อยมันจะเร่ร่อน มันจะไปเหมือนกับอากาศนี่แหละ

อย่างออกซิเจนนี่เขาเอามาใช้ได้เพราะอะไร เพราะเขามีถัง เพราะเขาบรรจุมันมาเป็นประโยชน์ แต่เราว่า “ออกซิเจนของเรา... ออกซิเจนของเรา” มึงไม่มีถังอยู่นี่มันจะมีประโยชน์อะไรกับมึง

นี่ก็เหมือนกัน กระดูกให้เพ่งไป ไม่ผิดนะ.. ไม่ผิด เพียงแต่คำถามว่า “เพ่งกระดูก กับคำว่าเห็นกายเหมือนกันหรือเปล่า ?” เราถึงแบ่งแยกตรงนี้ไง มันมีขั้นตอนของมัน การปฏิบัติมันมีระดับของมัน ระดับของอนุบาล ระดับของประถม ระดับระยะของมันจะพัฒนาของมัน อย่าเสียใจนะ ค่อยๆ ทำไป

ขนาดพระพุทธเจ้ายังค้นคว้าอยู่ ๖ ปีนะ เรายังแค่นี้... เพ่งกระดูก ก็ให้เพ่งกระดูกไป เพราะเพ่งกระดูก เพ่งต่างๆ นี้ จิตมันจะสงบได้ พอจิตสงบแล้วเข้าไปเห็นกระดูกอีกทีหนึ่ง “นั่นแหละเห็นกาย” ถ้าเห็นกายอย่างนี้มันสะเทือนหัวใจมาก เห็นกายนั่นเป็นอีกกรณีหนึ่งนะ

เอาสั้นๆ เพราะเดี๋ยวมันจะเยอะ

ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วเกิดทุกขเวทนา เราควรเพ่งจุดที่เกิดเพื่อดูการเกิดดับ หรือควรน้อมจิตไปเพ่งดูสิ่งอื่น หรือเบี่ยงเบนความสนใจจากทุกขเวทนานั้นเลย อย่างไหนจะดีกว่ากันเจ้าคะ เพราะเคยได้ยินคำสอน ที่หนูเคยฟังมาอยู่

หลวงพ่อ : เวลาตอบคำถาม จะดูวุฒิภาวะของผู้ถามก่อน ถ้าเด็กมันถามนี่ เด็กก็พูดอีกอย่างหนึ่ง ถ้าผู้ใหญ่ถามนี่ วุฒิภาวะเขาจะเข้าใจปัญหาได้ดีกว่าเด็ก

ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติใหม่นี้จะเหมือนเด็ก ทีนี้พอเหมือนเด็กแล้ว พอเวลาเกิดเวทนาขึ้นมาแล้ว ให้ไปเพ่งที่จิตก่อนไหม หรืออะไรไหมนี่ ไอ้อย่างนี้คือเวลาตอบปัญหาเด็ก เราต้องแบบว่าไม่ให้หักโหมจนเกินไป ให้เด็กรับปัญหานั้นได้

ฉะนั้นเวลาเราเกิดเวทนา “ต้องให้พุทโธชัดๆ” พุทโธ พุทโธ พุทโธ ถ้าเราพุทโธชัดๆ แล้ว มันจะดึงความรู้สึกกลับมาที่พุทโธได้ พอดึงกลับมาที่พุทโธได้ ความเจ็บนั้นก็จะหายไป ถ้ามันเป็นอาการอย่างนี้เขาเรียกว่า “นักหลบ” หลบก่อนไง หลบมาเพื่อสร้างกำลังไง ถ้าเป็นนักรบนะ ถ้าถอนนะ ถ้าถอนพุทโธ พุทโธ... เพื่อจะออกมาที่การพิจารณาเวทนา

ครูบาอาจารย์บอกว่า “เวลาเวทนาเกิด ให้สู้กับเวทนาไง”

จะเอาเด็กอนุบาลไปสู้กับนักเลงนะ ไม่ต้องสู้หรอก แค่มันผลักก็ล้มแล้ว

จิตใจเราไม่มีกำลังเลย แล้วไปสู้กับเวทนานะ เวทนามันจะปวดเป็น ๒-๓ เท่า โอ้โฮ... เวทนามันขี่คอเลย แต่ถ้ากลับมาพุทโธ พุทโธ พุทโธต่อไปจนเวทนามันหาย โอ้โฮ... เวทนายังหายได้เลย พอเรามีสมาธิแล้วออกไป เวทนามันไม่กล้าสู้นะ

“เวทนาไม่กล้าสู้กับจิตที่เป็นสมาธิ... เพราะเวทนานี้มันเป็นอาวุธของกิเลส !” กิเลสมันจะเอาเวทนา เอาความทุกข์ เอาความหมักหมมของใจเรานี้ มาต่อรองกับเรา แล้วพอเราสู้กับมัน เราก็แพ้ๆๆ แพ้ตลอด

แต่พอจิตเรามีสมาธิปั๊บ ถ้ามันเอาเวทนามาสู้กับเรา เราแยกแยะเวทนาได้นะ กิเลสมันจะเสียมายากลของมัน เวลาถ้าจิตสงบนะ เวทนามันหายเงียบเลย แต่พอจิตมันเสื่อมนะ เวทนามันจะกระทืบเลย

มันจะเป็นอย่างนี้ ค่อยๆ ภาวนาไป ค่อยๆ ภาวนาไป ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“การจะชนะตัวเอง... คือ ชนะใจของเรา”

ฉะนั้นข้าศึกคูณด้วยพัน ไม่มีประโยชน์อะไรเลย สร้างเวรสร้างกรรม “ชนะหัวใจของเรานี้ประเสริฐที่สุด”

ฉะนั้น กว่าจะชนะได้นะ เต็มกลืน... แต่ทำได้ !

ถาม : โยมขอโอกาสกราบเรียนถามปัญหา ปัจจุบันกำหนดจิต ก็จะเกิดธรรมเป็นตัวรู้ที่จิต เป็นระยะอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นกิเลสหรือเป็นสัจธรรมคะ

หลวงพ่อ : “ปัจจุบันกำหนดจิตก็จะเกิดธรรม” เกิดธรรมก็พูดมาเมื่อกี้นี้แล้ว เกิดธรรมนะ ธรรมมันมีด้วยกันหลายระดับ ธรรมนะ แค่เรามีสติปัญญา เพราะความเพียร ความดี ความชอบนี้ มันก็เป็นธรรมได้ เห็นไหม

ธรรมในขั้นของศรัทธา.. ธรรมในขั้นทาน.. ธรรมของขั้นศีล ขั้นสมาธิ ขั้นปัญญา

ฉะนั้นที่เขาถามว่า “มันเป็นกิเลสหรือเป็นธรรม” ถ้าใจมันเป็นกิเลส ถ้าใจมันยึด ใจมันบอกว่าสิ่งนี้เป็นคุณงามความดี แต่เพราะคุณงามความดีที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ไง

ถ้าเราไม่มีกิเลสไปยึดมัน อย่างนี้เป็นธรรม

แต่ถ้าบอกว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้เป็นเป้าหมาย อย่างนี้เป็นกิเลส

ถาม : อยากทราบว่า ภาวะจิตรวมใหญ่เป็นอย่างไรคะ คือภาวะจิตที่ไม่ปรุงแต่ง และมีอารมณ์เดียว หรือคือภาวะที่นิ่งอย่างเดียว ไม่มีกาย มีลมหายใจ แต่เหมือนไม่มี

หลวงพ่อ : ลมหายใจนี่นะ เวลามันหยาบๆ มันกระทบได้ บางทีเรากำหนดลมหายใจนะ อานาปานสติกำหนดลม ถ้าจิตมันละเอียด มันไม่ลงนะ ลมหายใจนี่เป็นแท่งใสเลย เห็นลมขนาดนั้นนะ แต่พอเวลาลมมันดับ เวลามันจะเข้าอัปปนาสมาธินะ พอเราจะเข้าอัปปนานี่ทุกคนจะตกใจ มันจะตกใจว่าจะตาย เพราะกิเลสมันจะหลอก พอตกใจว่าจะตายปั๊บมันไหว จิตนี่ออกหมดเลย

ทีนี้ถ้ามันเข้าไปแล้วขนาดนั้น เราจะบอกว่า เห็นว่ามีลมหายใจหรือไม่มี เราจะบอกว่าไม่ต้องตกใจเลย มันมีคนที่ปฏิบัติไปถามบ่อย บอกว่า “พุทโธ พุทโธแล้วมันต้องหาย ลมหายใจจะต้องหาย” นี่เราไปเอาเป้าหมายกันก่อนไง นี่หงษ์มันจะปีกหัก

พอพุทโธ พุทโธ พุทโธ มันจะทำให้หายเองไง เวลากำหนดลม มันก็ทำเบลอๆ ให้มันหายไปไง แล้วก็ว่าว่างๆ ว่างๆ “อันนั้นมันเป็นสมาธิหลอก” แล้วเป็นสมาธิหลอกนี่มีเยอะ เราถึงเน้น เวลามีคนมาถามปัญหาเรา เราจะบอกว่า

“เน้นชัดๆ ! ชัดๆ ! ลมชัดๆ ! พุทโธชัดๆ !” เราต้องพยายามให้ชัดๆ แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ

พอเราเน้นชัดๆๆๆๆๆ คือมันต่อหน้าไง จริงๆ มันจะหาย แต่เราต้องหายด้วยข้อเท็จจริง มันไม่ใช่หายด้วยความที่เราอยากให้หาย ทุกคนพอพุทโธ พุทโธ โอ้โฮ... ลงสมาธิแล้ว

ทำไมไม่นึกพุทโธล่ะ?

เดี๋ยวมันหยาบ...

เรานึกพุทโธได้ แต่เราไม่นึก พอเราไม่นึกนะ มันก็เหมือนกับเขาทำอาหารใช่ไหม พออาหารนี้เกือบเสร็จแล้วเราไปปิดไฟ อย่างนี้อาหารมันจะสุกไหม พุทโธ พุทโธไปซักพักหนึ่งแล้วปล่อยเลย พอปล่อยแล้วก็นึกว่าอาหารนั้นมันจะสุกนะ แต่มันก็เน่า มันจะเน่าเลยนะ

นี่ก็เหมือนกัน ฉะนั้นให้พุทโธชัดๆ ลมหายใจชัดๆ มันจะเป็นเอง ! เป็นเองโดยมีสติ สตินี่พร้อมเลย แล้วมันจะชัด

จะพูดนี่มันก็เหมือนกับพูดเรื่องตัวเองเนาะ เราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะบอก “ไอ้หงบมึงต้องพุทโธ แล้วถ้าพุทโธนี้ชั่วโมงหนึ่ง มันจะเป็นสมาธิแค่ ๒-๓ นาที ถ้าพุทโธ ๕ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง เป็นสมาธิแค่ไม่กี่นาที ฉะนั้นให้พุทโธไปเรื่อยๆ” พอเราจับหลวงปู่เจี๊ยะแล้ว เราก็พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธทั้งวันทั้งคืน เป็นเดือนๆ เลย

พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ! โธ ! โธ ! ถ้ามันยังมีความรู้สึกเมื่อไหร่ ให้พุทโธตลอดเวลา เวลามันลงนะ มันควงสว่านลงเลย พุทโธนะ มึงอยู่นี่นะ พุทโธไปนะ กูไปแล้ว แต่ถ้าเป็นคนอื่นนะมันจะตกใจ พอตกใจปั๊บมันจะถอนขึ้นทันทีเลย

พอเราพุทโธ พุทโธ พอมันลงนะ เรามีสติพร้อมไง พอมันจะลงนะ “เชิญครับ... เชิญครับ” แหม... รอมานาน เชิญครับ มันไม่มีตกใจเลย เพราะ ! เพราะมีครูบาอาจารย์ อาจารย์บอกไว้ทุกอย่างแล้ว เพียงแต่ว่าเรายังไม่เห็น พอเราไปทำนะ มันลงหมด

ฉะนั้นต้องพุทโธชัดๆ ! นี้เพียงแต่ว่า คำว่าพุทโธชัดๆ ชัดๆ นี้ ไปฟังดีๆ สิ หลวงปู่เจี๊ยะก็พูด แล้วไม่ต้องกลัวว่ามันจะไม่หาย ให้พุทโธชัดๆ ! แต่เพราะกลัวมันไม่หาย แล้วอยากให้หายไง “ตัณหาซ้อนตัณหา”

โดยธรรมชาติของมนุษย์ มันใฝ่ดี มันอยากดี แต่มันมีตัณหา คือ อยากดีซ้อนความอยากดีขึ้นอีกทีหนึ่งไง ทำๆๆ เสร็จแล้วก็ เออ... หายไปเลย หายไปนี่มันกิเลสนะ

ถาม : โยมนั่งขัดสมาธิเพชร ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๓ เดือน จนทำให้เส้นเอ็นที่ข้อเท้าขวาเจ็บมาก และเกิดก้อนเนื้อขึ้นมาที่ขาหนีบทางด้านขวา ประมาณ ๖ เดือนแล้ว อยากทราบว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะหาย หรือมีอาการทุเลาและหายจนเป็นปกติที่สามารถปฏิบัติธรรมได้

หลวงพ่อ : การปฏิบัตินะ ถ้าคนเจ็บใช่ไหม เริ่มต้นจะต้องไปหาหมอก่อน หาหมอแผนปัจจุบันนี้แหละ คนเรานี่มันเจ็บไข้ได้ป่วยได้ ถ้าหมอแผนปัจจุบันบอกว่าไม่เป็นอะไร นั่นแหละโหมได้เลย

ไม่จริง... เวทนาหลอก บางอย่างนี่เราต้องไปหาหมอ ให้หมอวินิจฉัยว่ามันเป็นหรือไม่เป็นก่อน ไอ้เวทนาความเจ็บปวดนี่นะ

จริงๆ นะต้องไปหาหมอ อย่างเช่น บางทีนะเราเห็นอยู่ว่าคนปฏิบัติแล้วสติมันหลุด นั่นก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ที่จริงท่านพาไปหาหมอนะ เพราะหมอจะให้ยา พอให้ยาแล้วมันจะช่วยระงับประสาท แล้วเราค่อยมาพุทโธซ้ำไง แต่ถ้าเราพุทโธอย่างเดียวนี้ มันสู้ไม่ไหวไง เพราะใจเราหนาเกินไป จะต้องให้หมอช่วย คือให้หมอช่วยครึ่งหนึ่ง แต่หมอช่วยไม่หายหรอก เราจะต้องทำของเราด้วย

อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเรามานั่ง ถ้ามันไม่เป็นเวรเป็นกรรม... มันไม่มีหรอก เราเที่ยวมานะ ขนาดอยู่ในป่า ไปเจอสัตว์ร้ายหรือสิ่งต่างๆ นี่ เพื่อนๆ หนีกันนะ แต่เราจะอยู่ตรงนั้นเลย ถ้ามีเวรมีกรรมให้เอาไปเลย ถ้ามันไม่มีเวรไม่มีกรรม ไม่กลัวอะไรเลย... ไม่กลัว แล้วมันก็รอดมานี่ มันรอดมา

ถ้ามันไม่มีเวรไม่มีกรรมนะ เรื่องเวรกรรมนี่มันเป็นเรื่องหนึ่ง เพราะในการป่วยมันมี ๓ อย่าง

๑. ป่วยเพราะป่วยจริงๆ

๒. ป่วยเพราะอุปทาน อุปทานนี่ทำให้ป่วยได้

๓. แล้วก็เรื่องของกรรม กรรมนี้มีส่วน

ถาม : ดิฉันเคยมีทุกข์มาก... แล้วนั่งสมาธิจนใจสงบนิ่ง แล้วได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ ดังแต่ไกลมา แล้ว... เสียงนั้นก็หายไป

หลวงพ่อ : เวลาปฏิบัติ หลวงตาจะบอกว่าเรื่องของจิตนี้มันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก ฉะนั้นคนเรานี่อำนาจวาสนาแตกต่างกัน บางคนอำนาจวาสนาน้อย

“สุกขวิปัสสโก... เตวิชโช… อย่างนี้” อำนาจวาสนาเขามาก เขาทำแล้วจะได้ประโยชน์มาก

อำนาจวาสนามาก คือ สร้างบารมีไว้มาก เวลาที่เขาทำขึ้นมาจะมีเครื่องมือ คือปัญญาจะกว้างขวางมาก จะแก้ไขจะทำประโยชน์ได้มหาศาล แต่ถ้าปัญญาน้อย ก็เป็นพระอรหันต์ได้ คือสุกขวิปัสสโก คือเป็นพระอรหันต์เฉยๆ ไง แต่จะอธิบายให้ใครฟังนี่อธิบายยาก

เวลาเราอธิบายอารมณ์ความรู้สึกเราให้คนอื่นฟัง ทำได้ง่ายไหม แล้วความเป็นจริงนี่มันไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกนะ มันเป็นข้อเท็จจริงในใจ แล้วเราจะเอาสิ่งที่เป็นนามธรรมในหัวใจนี้มาอธิบายให้คนอื่นฟัง

เวลาเทศน์จริงๆ ก็เหมือนสร้างหนังเรื่องหนึ่งนะ ต้องเขียนเรื่อง ต้องมีคนแสดง ต้องพูดออกมา ไอ้นี่เป็นผู้ร้าย นี่เป็นพระเอกนะ มันจะฆ่ากันอย่างนี้นะ คือธรรมะกับกิเลสมันจะสู้กัน แล้วเราอธิบายออกมาเป็นบุคลาธิษฐาน คือเทศน์ออกมา

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นอำนาจวาสนาของคนนี้ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเวลาจิตเราภาวนาไป แล้วได้ยินเสียง ได้ยินต่างๆ นี้ ได้ยินเสียงมันก็เป็นแบบว่าสายบุญสายกรรม ถ้าเป็นสายบุญสายกรรม ให้เราอุทิศส่วนกุศลนั้นไป.. อุทิศส่วนกุศลนั้นไป

แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริง เห็นไหม เพราะมันอยู่คนละมิติ เราจะบอกว่าไม่ต้องกลัวผี ไม่ต้องกลัวอะไรเลย เพราะเขาอยู่คนละมิติกับเรา เราต่างหากที่เป็นผู้อุทิศส่วนกุศลให้เขานะ ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขา เวลาเขาต้องการสิ่งใด เขาจะมาขอเรานะ เขาทำด้วยตัวเองไม่ได้ เขาต้องขอจากเรา

แล้วถ้าไม่ใช่สายบุญสายกรรม... เรามีอยู่ มีโยม ๓ พี่น้องเขามาหา ไอ้ ๒ คนบอกว่า “พ่อแม่นี่เอาเปรียบ ไม่มาเข้าฝันพวกหนูเลย มาเข้าฝันแต่พี่ชายคนเดียว” เรารู้เลยว่าไอ้๒ คนนี้ไม่ทำบุญ เขาไม่ไปหามึงหรอก ไปหามึงแล้วไม่ได้ แต่ไปหาพี่ชายนะ เพราะพี่ชายทำบุญตลอด ไปหาแล้วมันได้ไง

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาที่เขามาหา นี่คือเขาจะหาคนที่พึ่งได้ ! เขาไม่มาหาเราหรอก การมาหาเรานี่มันทุกข์ยากนะ มันคนละมิติไง มันคนละภพ แล้วเขาจะมาหาเรานี่

ฉะนั้นที่ว่ามีเสียงร้องๆ ขึ้นมานี่ ให้เราอุทิศส่วนกุศล ไม่ต้องตกใจนะ

๑. นี่คือข้อเท็จจริง

๒. เป็นอุปทาน ถ้าเป็นอุปทานนะ พอพุทโธก็หาย พุทโธให้ละเอียดเข้ามา ให้พุทโธดีๆ

“พุทโธเป็นยาสารพัดนึก พุทโธแก้ทุกอย่าง... แก้ได้ทุกอย่าง ถ้าจิตสงบแล้วทุกอย่างจบหมด ” พุทโธนี้เป็นยาประจำบ้าน พุทโธใช้ได้หมด

ถาม : จิตของเรามันชอบออกไปรู้ไปเห็นเรื่องราวของคนอื่น เราควรสะกิดอย่างไรดี ทำให้จิตของเรามีสมาธิ ไม่ส่งออกไป สิ่งที่รู้ไม่เป็น.. จึงไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่

หลวงพ่อ : อันนี้มันอันเดียวกับเมื่อกี้นี้ “ธรรมชาติของจิตมันส่งออก” ธรรมชาติของจิตเป็นอย่างนี้นะ ถ้าจิตไม่ส่งออก จิตไม่มีพลังงานนะ มันไม่พัฒนาขึ้นมา

จิต... จะบอกว่าเป็นธาตุไฟก็ได้... ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าไม่มีพลังงานเผาผลาญอยู่นะ ร่างกายนี้อยู่ไม่ได้หรอก

ฉะนั้นพลังงานนี้มันก็จะเผาผลาญตัวมันตลอดเวลา เหมือนธาตุไฟ นี่มันจะเผาผลาญตัวมัน ถ้าเผาผลาญคือสภาวะอย่างนี้ มันจะต้องส่งออกอยู่แล้ว เพราะโดยธรรมชาติของจิตมันส่งออกอยู่แล้ว

ฉะนั้นพอโดยธรรมชาติของจิตมันส่งออกอยู่แล้วนี้ พอเราศึกษาธรรม คือ “ทวนกระแส... ทวนกระแส” ถ้าเราทวนกระแสกลับมานี่มันไปรู้เรื่องต่างๆ เห็นไหม พอรู้แล้ว เราก็ว่า “มันรู้แล้ว มันจบแล้ว” แล้วต่อไปเราก็พยายามแบบว่า ไม่อยากรู้

การแก้ไขที่ง่ายที่สุดนะ จะบอกว่าตัวเองนี่เป็นมหาโจร ไปรับรู้เรื่องคนอื่นเขาทำไม เราก็เอาเป็นคำเตือนตัวเราสิ นี่เหมือนเสลดที่เราคายทิ้งไปแล้ว แล้วเราไปเลียกินอีกทำไม ?

นี่ก็เหมือนกัน เราไปรู้แล้วมันทุกข์ แล้วเราไปเอามากินทำไม แต่เพราะความอคตินี้มันบวกเข้ามาไง

“รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร” ฉะนั้นตั้งสติไว้ ตั้งสตินะ...

อย่างเช่น เวลาไปหาหมอนะ หมอเขาก็ให้ยามา แต่คนไข้นี้ต้องกายภาพบำบัด ต้องพยายามช่วยเหลือตัวเอง ถ้าคนไข้ร่วมมือกับหมอนะ คนไข้นั้นจะรักษาง่าย แต่ถ้าคนไข้นั้นไม่ร่วมมือกับหมอ หมอให้ยาแล้วไม่ใช้ตามนั้น คนไข้นั้นก็หายได้ยาก

อันนี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไปหาหมอแล้วมันจะหายไง เราต้องร่วมมือกับหมอ คือเราต้องฝึกเราด้วยไง เราต้องแก้ไขของเรา ถ้าทางโลกมันจะหายด้วยหมอจริงๆ แต่ในการประพฤติปฏิบัตินี้มันต้องหายจากเราด้วยนะ มันได้ไม่หายจากหมออย่างเดียว

ถาม : โยมนอนตะแคงข้างขวา แล้วนอนไม่หลับก็เลยพลิกตะแคงข้างซ้าย ก็เกิดอาการเหมือนจิตถูกดึง มีแรงพุ่งออกไปในอากาศ ขณะที่ไม่ได้เกิดความกลัว พยายามกำหนดรู้ตัวออกไป ตื่นขึ้นมาอีกที ก็ยังนอนตะแคงซ้ายเหมือนเดิม มีอาการเดิมอีก ถามว่าเป็นอาการอะไร

หลวงพ่อ : นี่นะ เวลาปฏิบัติ เวลาจิตมันเที่ยวออก ถ้าเวลาปฏิบัติไปแล้วคนมันมีวาสนา จิตนี้จะออกไปข้างนอก แล้วมองกลับมาที่ตัวเราได้ แต่น้อยคน

หลวงตาบอกว่า “จิตคึกคะนองนี้มีอยู่ ๕ เปอร์เซ็นต์” จิตคึกคะนองนี่นะ เวลาปฏิบัติมันต้องมีครูบาอาจารย์ตรงนี้แหละ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ เวลาเกิดอาการอย่างนี้เกิดขึ้นแล้วเราแก้ไม่เป็นนะ ถ้าเราแก้ไม่เป็น ผลของมันก็คือเสียสติ แต่ถ้าผลของมันไม่เสียสตินะ คือเรามีสติ

ฉะนั้นเวลานอนนะ แล้วจิตมันออกไปนี่ เราเป็นขณะนอน มันก็ต้องแก้ตอนนอนใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเราเป็นขณะที่นอน ก่อนนอนนี่ให้เราพุทโธ พุทโธให้หลับไปพร้อมกับนอน แล้วถ้ามันเป็นอีก ก็ให้เราพุทโธไปเรื่อยๆ

เหมือนกับเวลาเราเห็นนิมิต หรือเกิดสิ่งใดที่เกิดขึ้นมานี่นะ เราใช้คำว่า “แผ่นเสียงตกร่อง” คือจิตนี่นะมันแปลกมาก อะไรก็แล้วแต่นะที่มันเข้ามาถึงหัวใจเรา แล้วมันถูกหัวใจ แล้วมันซับไว้นี่ มันจะเป็นอย่างนั้นแหละ

เวลาเรานั่งสมาธิ เห็นไหม พอถึงจุดหนึ่งนี่เอียงๆๆ พอถึงจุดหนึ่งจะเป็นอย่างนั้น ไอ้กลืนน้ำลาย ถ้าไม่นั่งก็ไม่กลืนนะ พอนั่งแล้วอึ๊กๆ อยู่อย่างนั้นแหละ แล้วกว่ามันจะหายนี่ยาก เพราะจิตมันซับ แล้วพอจิตมันซับ ให้ค่อยๆ ค่อยๆ ใช้สติ ตั้งพุทโธ พุทโธไว้ มันจะค่อยๆ จางไป.. จางไป..

โรคนี้เกิดแล้วมันไม่ใช่ปั๊บๆ หาย มันจะค่อยจางไป แต่ถ้าไม่แก้นะ แผ่นเสียงนั้นจะร่องลึกไปเรื่อยๆ ใหญ่ไปเรื่อยๆ นี่ต้องค่อยๆ แก้ไป... แก้ไป มันมีวิธีการแก้

“ปัญหามีไว้ให้แก้... กิเลสเรามีไว้ให้ต่อสู้” มีไว้ให้แก้ เราต้องแก้ของเรา

ถาม : ภิกษุหรือฆราวาสที่ฝึกสมาธิ แล้วมีอาการคล้ายกับเสียสติ เพราะอะไร และจะมีการแก้ หรือช่วยเหลือจิตนั้นให้เป็นปกติได้อย่างไร

หลวงพ่อ : “ภิกษุหรือฆราวาส ที่ฝึกสมาธิแล้วเสียสติ”

เมื่อก่อนเราไม่มีประสบการณ์นะ เราเถียงหัวชนฝาเลย เราไม่เชื่อ เมื่อก่อนประสบการณ์เรายังไม่ใช่อย่างนี้ เราเถียงหัวชนฝาเลย ว่า “ทำดีได้ชั่วไม่มี !” เราคิดของเราอย่างนี้นะ ทำดีได้ชั่วไม่มี..

“ภิกษุหรือฆราวาส ฝึกสมาธิแล้วมีอาการคล้ายกับเสียสติ” ไม่มี! ทำดีแล้วได้ผลชั่วไม่มี การฝึกสมาธิแล้วทำให้เกิดการเสียสติ... ไม่มี

เมื่อก่อนเราคิดอย่างนั้นนะ แต่เดี๋ยวนี้... มี ! มันมีเพราะอะไร มันมีเพราะจิตของเรานี่มันไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นถ้าจิตของเรา ถ้ามันมีสิ่งใดนะ... เราพูดอย่างนี้ ไม่ได้พูดว่าใครทั้งสิ้น ถ้าใครมีสิ่งใดผิดปกติ ให้ไปหาจิตแพทย์ ไม่เป็นอะไรหรอก

เรามีลูกศิษย์เป็นหมอเยอะนะ หมอบอกว่า ตอนนี้ยาคลายเครียดนี่หมอกินกันเป็นประจำ เพราะมันเครียด ยาคลายเครียดนี่กินได้ โยมอย่าไปคิดว่าโยมไปหาหมอแล้วจะเสียหน้า เพราะโยมคิดว่ามันจะเสียหน้านี่แหละ มันถึงจะเป็นหนักขึ้นไปเรื่อยๆ

ฉะนั้นถ้ามันมีสิ่งใด เราบอกว่า ถ้าจิตปกตินี่ไม่เป็นไรหรอก ฉะนั้นจิตของพวกเรานี้ บางคนบกพร่องจริงๆ นะ พอบกพร่องแล้ว พอเราไปภาวนานี่มันจินตนาการนะ มันเป็นเพราะจิตไม่ปกติมาก่อน แล้วมาปฏิบัติ

แล้วพอปฏิบัติแล้ว นี่ไปหาเราเยอะเลย พระอรหันต์น่ะ “เป็นอย่างนั้นๆ” โอ้โฮ... แต่ตาลอยเลยนะ เราก็พยายามจะแก้ จริงๆ แล้วเราสงสาร สงสารเพราะอะไร เพราะเขาจะโทษว่าเพราะเขาปฏิบัติ ถ้าเขาปฏิบัตินะ พวกที่พูดอย่างนั้นเราก็จะบอกว่า ให้ไปดูที่โรงพยาบาลศรีธัญญา

คนที่โดนสังคมบีบคั้นจนเสียสติ กับคนที่ปฏิบัติแล้วเสียสติ มันมีกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ทีนี้เพียงแต่คนที่เสียสตินั้น เสียสติเพราะว่าเขามีเชื้อ มีสมุฏฐานของโรค พอมีสมุฏฐานของโรค สติมันก็ไม่สมบูรณ์จริงไหม พอสติไม่สมบูรณ์ เวลามาปฏิบัติมันก็จินตนาการไป พอจินตนาการไป มันก็ยิ่งทำให้ตัวเองหลอนมากขึ้น

ฉะนั้นเราถึงบอกว่า ให้ไปหาหมอก่อน พอหาหมอแล้ว หมอให้ยามา คือยาคลายเครียด ไม่เป็นไร หมอก็ยังกินเลย หมอยืนยันกับเราเองว่า “หลวงพ่อ... เดี๋ยวนี้หมอเขากินยาคลายเครียดกัน เพราะงานมันเยอะ งานมันเครียดมาก” เขากินแล้ว ไม่เป็นอะไร มันคลายเครียด !

พอคลายเครียดแล้วมันช่วยควบคุมประสาท แล้วเราก็พยายามพัฒนาตัวเรา มันหายได้นะ... หายได้

ฉะนั้นมันจะเป็นเพราะว่า พื้นฐานของเรามันมีไง แต่ถ้าโดยปกตินะ เวลาเรากำหนดพุทโธไป หรือดูสติไป ถ้ามันตกใจมาก อันนั้นกรรม ถ้ากรรมมันก็ต้องแก้ไข แก้ไขคือว่าฟื้นสติ ถ้าฟื้นสติคือให้ภาวนาก่อน แล้วพยายามฟื้นสติขึ้นมา ให้มีสติขึ้นมาก่อน พอมีสติขึ้นมา ภาวนาแล้วค่อยมาว่ากัน

เราเก็บอันนี้ไว้สุดท้าย เพราะอันนี้มัน....

ถาม : พระในประเทศไทย องค์ที่เด่นๆ ดังๆ จากการปฏิบัติระดับต่างๆ ตั้งแต่โสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ ทำไมล้วนแล้วแต่มาจากสายของหลวงปู่มั่น

หลวงพ่อ : “ทำไมล้วนแล้วแต่มาจากสายของหลวงปู่มั่น”

มันมีคนนะ เราฟังหลวงตาพูดอยู่ มันมีพวกที่ศึกษาเรื่องนี้ แล้วมีความชื่นใจมาก ก็ไปหาหลวงตา เขาบอกว่า เขามีศรัทธาสายของหลวงปู่มั่นมาก เพราะหลวงปู่มั่นท่านฝึกลูกศิษย์ลูกหามาเยอะมาก เขาเชื่อมั่นในสายของหลวงปู่มั่นมาก หลวงตาท่านพูดเองนะว่า “เราเชื่อว่า ลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น มีทั้งดีและเลว”

นี่หลวงตาพูดเอง เราได้ยินชัดๆ คำนี้เรามาวินิจฉัยเอาว่า ถ้าเราคิดว่าสายของหลวงปู่มั่นจะถูกต้องไปหมด มันจะปิดบังสายตาเราไง เราจะต้องดู ต้องพิสูจน์

“กาลามสูตร” ดูคำสอนกับการปฏิบัติของเราว่าเข้ากันได้ไหม ความเป็นจริงเป็นไหม เราต้องพิสูจน์

หลวงตาท่านพูดเอง เราฟังในเทป มีโยมนี่ศรัทธามากเลยไปกราบท่าน “องค์ไหนก็ตามในสายหลวงปู่มั่นนี่สุดยอด ! สุดยอด ! เลย ” ท่านพูดเลยนะ คำพูดนี้เราซึ้งใจนะ เราซึ้งใจหลวงตาเรา เพราะหลวงตาท่านสงสารคนๆ นี้ ถ้าคนๆ นี้มีศรัทธา มีความเชื่อมั่นแบบหัวปักหัวปำ แล้วถ้าเกิดวันไหนเขาไปมีอุปสรรคขึ้นมา เขาจะเสียใจทั้งชีวิตเขาเลย แต่หลวงตาท่านเลยบอกไว้ก่อน บอกว่า “ในสายของหลวงปู่มั่น พระดีมีเยอะ... พระที่ไม่ดีก็มี”

ฉะนั้นเราจะต้องมีสายตา เราจะต้องมีการพิสูจน์ เราต้องมีของเรา แล้วพอเรารู้ขึ้นมา ก็หลวงตาท่านพูดไว้แล้ว เห็นไหม หลวงตาท่านบอกไว้แล้วว่า “ดีก็มี ไม่ดีก็มี” อย่าให้เราปิดหูปิดตาเราว่ามันต้องดีหมด แล้วเชื่อมั่นไปหมด แล้วพอเวลาเราผิดหวังล่ะ เวลาเราผิดหวังนี่มันมาทำลายหัวใจเรานะ มันมาทำลายเราเองนะ

เวลาเรามีความสุข เรามีความรู้สึกดีนี่ มันเชิดชูหัวใจเราเต็มที่เลย แต่ถ้าวันไหนเราเสียใจ มันกลับมาทำลายหัวใจเรานะ ฉะนั้นเราจะต้องใช้สติปัญญา มีอะไรให้แยกแยะตรวจสอบให้ดี

ฉะนั้นที่เขาบอกว่า “พระในประเทศไทย องค์ที่ดังๆ ล้วนแต่เป็นสายของหลวงปู่มั่นทั้งนั้นเลย”.... ก็หลวงปู่มั่นท่านเป็นแม่แบบไง !

ดูทางอุตสาหกรรมสิ แม่พิมพ์แม่แบบนี่เขาต้องการมาก แล้วถ้าไม่มีแม่แบบ มันจะเอาอะไรมาขึ้นรูปล่ะ

ก็หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ถ้าไม่มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนะ... มันก็มีนะ เราไม่ปฏิเสธว่าที่อื่นเขาก็มีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วเราก็ศึกษาของเรานะ เขาจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เฉพาะตัวเขา เขาจะสอนให้คนอื่นไม่ได้

มีหลายองค์ อย่างเช่น หลวงปู่บุดดา หลวงตาจะรับรองหลวงปู่บุดดา เห็นไหม แล้วหลวงปู่บุดดามาจากไหนล่ะ

ที่อื่นก็มี แต่ ! แต่ในเมื่อท่านปฏิบัติมาแล้วนี่ มันอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม แล้วคนที่มีอำนาจวาสนาบารมีที่จะมาสอนคนนี่มันต้องมีพร้อมนะ ดักหน้าดักหลังนะ ดักหน้าดักหลังหมดเลย เพราะใจมันไม่ยอมใครหรอก ใจนี้... ยิ่งพระปฏิบัติด้วยนะ

โธ่... เราศึกษาประวัติครูบาอาจารย์มาก เพราะเราชอบ ครูบาอาจารย์ทุกองค์ เห็นไหม อย่างเช่น หลวงปู่ฉลวย ท่านพูดในประวัติของท่าน ท่านเป็นมหานิกาย แล้วท่านไปหาหลวงปู่มั่นที่หนองผือ แล้วท่านบอกว่า

ถ้าหลวงปู่มั่นบอกให้ญัตตินะ จะไม่ยอมญัตติ... ถ้าหลวงปู่มั่นไล่ออกจากวัด “จะลงมาอยู่ที่พื้นดิน” ถ้าหลวงปู่มั่นไล่ จะบอกว่าไล่ไม่ได้ นี่มันที่ดินสาธารณะ

ขนาดนั้นเลยเห็นไหม ท่านคิดของท่านเองไง แต่หลวงปู่มั่นท่านไม่พูด ท่านไม่พูดเพราะท่านศึกษาของท่าน แล้วท่านก็ญัตติของท่านเอง หลวงปู่ฉลวยท่านก็ญัตติของท่าน ด้วยตัวของท่านเอง เห็นไหม

เราจะบอกว่า ทิฐิของผู้ปฏิบัติ ทิฐิของคนที่จิตใจเข้มแข็งนี้ มีทิฐิสูงมาก ผู้ที่ปฏิบัตินี่ทิฐิสูงมาก! แล้วคนที่จะกำราบ คนที่จะเอาทิฐิอย่างนี้อยู่ได้ มันต้องสูงกว่านั้น มันต้องรอบรู้กว่านั้น

ฉะนั้นถึงพูดตั้งแต่เริ่มต้นมา เห็นไหม ถ้าไม่ได้หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนะ พวกเรามันก็หนอนในส้วม มันจะไปรู้อะไร แต่นี่ขนาดหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นพูดขนาดนี้ ชี้นำขนาดนี้ มันยังแถกันขนาดนี้

เพราะอะไร เพราะเราไม่เอาท่านเป็นที่ตั้ง คือใจมันลงไง ถ้าใจมันลงนะ จริงอยู่พระที่มีชื่อเสียงมาจากสายของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นทั้งนั้น เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์

หลวงตานี่ท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นไม่ได้เลยนะ ท่านเคารพของท่านมาก หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็เคารพมาก

ฉะนั้นในกรรมฐานของเราจะบอกว่า “หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของคนไทย” แล้วเราก็ไม่มีโอกาสเจอ แต่เราคิดมุมกลับนะ ตอนนี้ใครๆ ก็อยากจะได้เจอหลวงปู่มั่น แต่พอไปเจอหลวงปู่มั่นแล้วจะวิ่งหนีเลยล่ะ หลวงปู่มั่นดุหน้าดูเลย ขยับเป็นโดน.. ขยับเป็นโดนเลย ใครไปอยู่กับหลวงปู่มั่นนะขยับไม่ได้เลย คิดก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้

นั่นไงเวลาฝึก มันไม่ได้คิดว่าฝึกยากขนาดไหนไง แต่พอเห็นผลงานของหลวงปู่มั่น อู้ฮู... หลวงปู่มั่นยอด ! ยอด ! ใครๆ ก็อยากไปหาหลวงปู่มั่น แต่พอไปเจอโดนสักสองสามทีนี่ กลับบ้านแล้ว อู้ฮู... ทำไมดุขนาดนี้

ดุก็เพราะรักเรา ดุก็เพราะว่าความดี ดุก็เพื่อให้พวกเราได้ดี นั่นแหละคือหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา เอวัง